ปรีวิว คาราบาว คัพ นัดชิงชนะเลิศ
วันอาทิตย์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2567
สนาม : เวมบลีย์ (สนามกลาง)
เวลา : 22.00 น.
ถ่ายทอดสด : ไทยรัฐ ทีวี
ลิเวอร์พูลมีตัวเจ็บเพียบก่อนลงสนามในค่ำคืนนี้ เรียกว่ามีครบทุกตำแหน่งจริงๆ แถมตัวเจ็บคือเหล่าตัวหลักๆ ด้วย อย่างไรก็ตามยังดีที่ขุมกำลังในเชิงลึกของทีมในฤดูกาลนี้มีเพียงพอ และทดแทนเอาตัวรอดกันได้ โดยมีเหล่าดาวรุ่งแจ้งเกิดมาเติมเต็มได้พอดิบพอดี
แม้ภาพรวมคุณภาพจะไม่ว้าวสุด แต่ด้วยขุมกำลังกับฟอร์มที่พิสูจน์ตัวเองมาแล้วก็ทำให้แฟนๆ อุ่นใจได้ว่าไม่ได้ดูเป็นรองอะไร
ประตู ควีวิน เคลเลเฮอร์ ได้เล่นอยู่แล้วรายการนี้ต่อให้ อลิสซอน เบ็คเกอร์ พร้อม ยังไง เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็ให้ เคลเลเฮอร์ ฮีโร่เมื่อสองปีก่อนได้ลงก่อนอยู่ดี
แบ็คขวาแม้ เทรนต์ เจ็บ แต่การขึ้นมาของ คอเนอร์ แบรดลีย์ ทำให้คล็อปป์มีทางเลือกมากขึ้น บวกกับ โจ โกเมซ อีกรายที่เล่นได้ แต่ต้นเกมคาดว่าคล็อปป์น่าจะให้แบ็คที่เล่นเกมรุกได้ดีอย่าง แบรดลีย์ ลงเล่นก่อน โดยฝั่งซ้าย เป็น แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ที่หายเจ็บกลับมาและเริ่มปรับสภาพความฟิตได้อยู่ตัวแล้ว
คู่เซนเตอร์นำโดยกัปตันทีม เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ที่ฟอร์มกลับมาแข็งแกร่ง พึ่งพาได้ จะยืนคู่กับ อิบราฮิมา โกนาเต้ ที่นัดก่อนได้พักมาเต็มๆ เพื่อเกมนี้โดยเฉพาะ
แดนกลาง วาตารุ เอ็นโด เป็นคนที่คล็อปป์ขาดไปไม่ได้เสียแล้ว จะคอยทำหน้าที่เก็บกวาดหน้าแผงแบ็คโฟร์ และให้ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ได้ปลดปล่อยความสามารถในเกมรุกอย่างเต็มที่ในการขึ้นเกม เหมือนในช่วงหลังๆ ที่ทั้งคู่ได้ยืนคู่กัน โดยกลางอีกรายจะเป็นโอกาสของ ไรอัน กราเฟนแบร์ก ที่ได้ลงบ่อยๆ จังหวะก็ดีขึ้นตามไปด้วย
แดนหน้าตัวเลือกอาจจะจำกัดนิดนึง เพราะ ดิโอโก้ โชต้า เจ็บ ส่วน ดาร์วิน นูนเญซ กับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ นัดที่แล้วก็ไม่ได้ลง สามตัวบน หลุยส์ ดีอาซ ยังไงก็ลงกับ โคดี้ กัคโป ที่กำลังมั่นใจ อีกรายเดาว่าคล็อปป์จะให้ซาลาห์ที่นัดก่อนเลือกพักมาเพื่อเกมนี้ลงสนาม โดยมี นูนเญซ กับ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ เป็นตัวสแตนด์ บาย
ฝั่งเชลซีเองตัวเจ็บก็เยอะพอๆ กัน ทั้ง รีซ เจมส์, เบอนัวต์ บาเดียชิล, เวสลี่ย์ โฟฟาน่า, มาร์ก กูกูเรย่า, คาร์นี่ย์ ชุควูเอเมก้า, เลสลี่ย์ อูโกชุควู และ โรเมโอ ลาเวีย มิดฟิลด์ดาวรุ่งซึ่งเคยตกเป็นเป้าหมายเสริมทัพของ ลิเวอร์พูล มาก่อน
อย่างไรก็ดี พวกเขาจะได้ ติอาโก้ ซิลวา ฟิตกลับมาเป็นตัวเลือกแนวรับ รวมถึง โรเบิร์ต ซานเชซ โกลสแปนิชหายเจ็บได้สักระยะ แต่กระนั้น ยอร์เย่ เปโตรวิช โชว์ฟอร์มดีมาตลอดไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน กรณีเดียวกันกับตัวจริงรายอื่นๆ ที่ฝากผลงานเข้าท่าในบิ๊กแมตช์บุกเสมอ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-1 แนวรุกมี นิโกลัส แจ็คสัน ยืนเป้าพร้อมด้วยตัวปั้นอิงลิชล้วนๆ ทั้ง โคล พาลเมอร์, คอเนอร์ กัลลาเกอร์ และ ราฮีม สเตอร์ลิง ลงเจอทีมเก่า
11 ตัวจริงที่คาดว่าจะได้ลงสนาม
ลิเวอร์พูล (4-3-3) : ควีวิน เคลเลเฮอร์ - คอเนอร์ แบรดลีย์, อิบราฮิมา โกนาเต้, เฟอร์จิล ฟาน ไดค์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน - อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์, วาตารุ เอ็นโด, ไรอัน กราเฟนแบร์ก - โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โคดี้ กัคโป, หลุยส์ ดีอาซ
เชลซี (4-2-3-1) : ยอร์เย่ เปโตรวิช - มาโล่ กุสโต้, อักแซล ดิซาซี่, ลีวาย โคลวิลล์, เบน ชิลเวลล์ - มอยเซส ไกเซโด้, เอ็นโซ่ เฟร์นานเดซ - โคล พาลเมอร์, คอเนอร์ กัลลาเกอร์, ราฮีม สเตอร์ลิง - นิโกลัส แจ็คสัน
ความน่าจะเป็นของเกม
แม้เกมพรีเมียร์ลีกนัดล่าสุดที่เจอกัน เชลซีหลุดฟอร์ม ขณะที่ลิเวอร์พูลเองก็เข้าฝักมาก สกอร์เลยห่าง (4-1) แต่เวลาเจอกันในแมทช์ที่ต้องวัดกันไปเลย เชลซี มักจะทำให้ลิเวอร์พูลเจองานหืดจับเสมอ แถมสถิติในถ้วยนี้ของพวกเขาเองก็ข่มลิเวอร์พูลนิดๆ ด้วยในเจอกัน
เชื่อว่าเชลซีไม่ได้มาเน้นอุดจัด แต่พวกเขาก็คงมองเกมรับลิเวอร์พูลว่าเสียประตูง่าย แถมแนวรุกของพวกเขาเองก็เร็วพอตัว ดังนั้นน่าจะพยายามตั้งเกมสู้และชิงเอาประตูนำให้ได้ก่อน ขณะที่ลิเวอร์พูลเองสไตล์บอลชัดเจนอยู่แล้ว อยู่ที่เกมรับจะแพ็กแน่นแค่ไหน และเกมรุกจะเฉียบคมมากแค่ไหน นั่นคือตัวตัดสินเกมเลย
ผลการแข่งขันที่คาด
เสมอกันไปก่อนในเวลา 90 นาทีแบบมีประตู แต่สุดท้ายลิเวอร์พูลได้เฮหลังเกม