������� ''หงส์แดง'' ลิเวอร์พูล แม้ยังยึด จ่าฝูง แต่พลาดโอกาสทำแต้มหนีห่างเพื่อทิ้งความกดดันหลังทำได้แค่เปิดรัง เสมอ เลสเตอร์ ซิตี้ 1-1 โดย ยืดสถิติไม่แพ้เลยตลอด 33 นัดเหย้าหลังสุดในพรีเมียร์ลีก โดย ''หงส์แดง'' ได้ประตูออกนำจาก ซาดิโอ มาเน่ ตั่งแต่ 3 นาทีแต่ไม่สามารถรักษาสกอร์ได้ โดนทีเด็ด แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ช่วงท้ายครึ่งแรก เก็บเพิ่มเป็น 61 คะแนนทิ้งห่างแมนฯซิตี้ 5 แต้ม ในศึกฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ คืนวันพุธที่ผ่านมา
������ สนาม : แอนฟิลด์
��� เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือ ''หงส์แดง'' ลิเวอร์พูล จ่าฝูงพรีเมียร์ลีกพาทีมกลับมาจากการเข้าแคมป์ที่ ดูไบ, ยูเออี เนื่องจากพวกเขาไม่ต้องเล่น เอฟเอ คัพ เมื่อสุดสัปดาห์ โดยหากวันนี้ ทัพ� "เร้ดแมชชีน" คว้าชัยเหนือ ''สุนัขจิ้งจอก'' ได้จะเพิ่มระยะห่างหนี "เรือใบสีฟ้า" แมนฯซิตี้ เป็น 7 คะแนนทันที
���� ฟาก โคล้ด ปูแอล กุนซือ ''สุนัขจิ้งจอก'' ทำทีมกดดันทีเดียว พวกเขาแพ้ในลีก 3 จาก 4 เกมหลัง โดยฟอร์มล่าสุดก็คือการไปแพ้ วูล์ฟแฮมป์ตัน 3-4 นั่นเอง
��� ก่อนเกมทั้งสองทีมได้ยืน เอมิเลียโน่ ซาล่า จากเหตุการเครื่องบินโดยสารขนาดเล็กของสาบสูญระหว่างเดินทางจากน็องต์ สโมสรเก่าของเขามาค้าแข้งในพรีเมียร์ลีกกับ คาร์ดิฟฟ์ โดยรายงานล่าสุด หน่วยสอบสวนอุบัติเหตุทางอากาศแห่งสหราชอาณาจักร แถลงพบชิ้นส่วนซึ่งน่าจะมาจากเครื่องบินแล้ว
��� เริ่มต้นเกมเพียง 3 นาที ''หงส์แดง'' ได้ประตูออกนำอย่างรวดเร็วเป็นจังหวะของ ซาดิโอ มาเน่ ลุยขึ้นมาทางฝั่งซ้ายก่อนเคาะทำชิ่งกับ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน บอลเหมือนจะเข้าทาง โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่แต่หลุดมาถึง มาเน่ ที่เติมสอดเข้าเขตโทษได้ลองปั่นด้วยขวาเสียบเสาไม่มีเหลือ ลิเวอร์พูล 1 เลสเตอร์ 0
��� นาทีที่ 5 เจ้าถิ่นลุยหนักได้ลุ้นประตุอีกครั้งจาก โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ได้บอลทางฝั่งซ้ายยกบอลหลบ ริคาร์โด้ เปเรยร่า ก่อนปั่นโค้งด้วยขวาแต่ยังไม่ผ่านมือ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ปัดออกหลังไปได้ จากลุกเตะมุมเป็น ซาดิโอ มาเน่ ขึ้นโขกอีกครั้งแต่ไม่ตรงกรอบ
��� ต่อมานาทีที่ 24 ''สุนัขจิ้งจอก'' เกือบได้ประตูตีเสมอเป็น อลีสซง เบ็คเกอร์ ติดประมาทเตะไปติด เจมี่ วาร์ดี้ ที่วิ่งมากดดัน บอลเข้าทาง� มาร์ค อัลไบร์ทตัน ทางฝั่งขวาก่อนครอสให้ เจมส์ เมดิสันยืนโหม่งโล่งๆออกหลังไปอย่างน่าเสียดาย
มาเน่ซัดแต่ไก่โห่! ลิเวอร์พูลจบไม่ลงโดนเลสเตอร์บุกเจ๊า นำแมนซิตี้5แต้ม
��� ช่วงทดเจ็บครึ่งแรกนาทีที่ 46 ''สุนัขจิ้งจอก'' ได้ประตูตีเสมอจากลุกฟรีคิกทางขวาของ เจมส์ เมดิสัน และเป็นแนวรับเจ้าถิ่นเคลียร์ไม่ขาดบอลเข้าทาง วิลฟรีด เอ็นดิดี้ ซัดก่อนจังหวะแรกบอลติดบล็อคเข้าทาง เบน ชิลเวลล์ โหม่งหนุนไปเสาสองให้ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ สอดมาแปร์ด้วยขวาเข้าไป ลิเวอร์พูล 1 เลสเตอร์ 1
��� หลังจากนั้นไม่มีสกอร์เพิ่ม หมดครึ่งเวลาแรก ลิเวอร์พูล 1 เลสเตอร์ 1
��� เริ่มครึ่งหลังได้ 5 นาทีเป็นทัพ ''สุนัขจิ้งจอก'' เป็นฝ่ายครองบอลเข้าใส่ได้ลุ้นประตูขึ้นนำจาก เจมส์ เมดิสัน แต่ยังติดแนวรับ ''หงส์แดง'' ช่วยกันป้องกันไว้ได้
��� กดดันอย่างหนักสำหรับลูกทีมของ โคล้ด ปูแอล 5 นาทีต่อมาได้ลุ้นอีกครั้งจากลูกฟรีคิกทางขวาของ เจมส์ เมดิสัน โยนบอลลึกไปเสาสองให้ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ โขกชงเข้ากลางเกือบถึง จอนนี่ อีแวนส์ยังดีที่ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ตามาช่วยทิ้งตัวสกัดหน้าปากประตู
��� นาทีที่ 65 เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องขยับเปลี่ยนตัวก่อนหลังรูปเกมครึ่งหลังสู้ทีมเยือนไม่ได้ ส่ง ฟาบินโญ่ ลงสนามแทน นาบี เกอิต้า และ อดัม ลัลลาน่า แทน เซอร์ดาน ชากิรี่
���
��� ก่อนหมดเวลา 15 นาที ''หงส์แดง'' ได้เสียวอีกครั้งโดยเป็น โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ รับบอลข้ามฟากจาก จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ก่อนแหวกแนวรับทีมเยือนซัดเต็มข้อด้วยขวาบอลพุ่งเลียด แต่ไม่ดีพอผ่านมือ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ล้มตัวตะปปไว้ได้
��� ก่อนหมดเวลา 5 นาทีแฟน "เดอะ ค็อป" ลุ้นหนักหลังทัพ ''สุนัขจิ้งจอก'' มีจังหวะสวนกลับอันตรายหลายครั้ง ส่วนลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องยอมรับว่าผลงานต่ำกว่ามาตรฐาน
��� ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ 4 นาที เจ้าถิ่น โหมบุกอย่างหนักแต่ไม่มีทีเด็ดไม่สามารถทำอะไรแนวรับทัพ ''สุนัขจิ้งจอก'' ได้เลย
��� จบเกม ลิเวอร์พูล 1 เลสเตอร์ ซิตี้� 1 โดยลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ กดดันตัวเองพลาด 3 แต้มสำคัญ ยืดสถิติไม่แพ้เลยตลอด 33 นัดเหย้าหลังสุดในพรีเมียร์ลีก ยึดจ่าฝูง ทิ้งห่างแมนฯซิตี้เพียง 5 คะแนน
รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม
��� ลิเวอร์พูล (4-2-3-1) : อลีสซง เบ็คเกอร์ - จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, โฌแอล มาติป, เฟอร์กิล ฟาน ไดค์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน - จอร์จินโญ่ ไวจ์นัลดุม, นาบี เกอิต้า(ฟาบินโญ่ น.67) - ซาดิโอ มาเน่, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่(แดเนียล สเตอร์ริดจ์ น.82), เซอร์ดาน ชากิรี่(อดัม ลัลลาน่า น.67) - โมฮาเหม็ด ซาลาห์
��� ผู้จัดการทีม : เจอร์เก้น คล็อปป์
��� เลสเตอร์ (4-2-3-1) : แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล - ริคาร์โด้ เปเรยร่า, เวส มอร์แกน, แฮร์รี่ แม็คไกวร์, เบน ชิลเวลล์ - น็อมปาลิส เมนดี้, วิลฟรีด เอ็นดิดี้ - เดมาไร เกรย์(ชินจิ โอกาซากิ น.84), เจมส์ เมดิสัน(ฮัมซ่า ชูฮ์ดูรี่ น.74), มาร์ค อัลไบร์ทตัน - เจมี่ วาร์ดี้(เคเลชี่ อิเฮียนาโช่ น.90)
��� ผู้จัดการทีม : โคล้ด ปูแอล
��� ผู้ตัดสิน : มาร์ติน แอตกินสัน