��� หลุยส์ ดิอาซ ควง โม ซาลาห์ กดคนละประตูพา ลิเวอร์พูล บุกถอนแค้น ไบรท์ตัน เฮ 8 นัดรวด พร้อมเก็บเพิ่มเป็น 66 แต้มตามหลังจ่าฝูง แมนฯ ซิตี้ เหลือ 3 คะแนนเท่านั้น ขณะที่ปีกชาวอียิปต์ถูกเปลี่ยนตัวออกหลังมีอาการบาดเจ็บรบกวน ในศึกพรีเมียร์ลีก เมื่อวันที่ 12 มี.ค.ที่ผ่านมา
��� การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ประจำวันเสาร์ที่ 12 มีนาคม 2565 ที่สนามเอเม็กซ์ สเตเดี้ยม ระหว่าง ไบรท์ตัน ทีมอันดับ 13 พบ ลิเวอร์พูล รองจ่าฝูง
��� เกรแฮม พอตเตอร์ กุนซือ นกนางนวล พาทีมออกทะเลแพ้ 4 นัดติดต่อกันในพรีเมียร์ลีกจนอันดับหล่นมาที่ 13 โดยเกมนี้แนวรุกส่งคู่หน้าอย่าง เลอันโดร ทรอสซาร์ และ นีล โมเปย์ ลงล่าตาข่าย
��� ขณะที่ ลิเวอร์พูล ของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ชนะมา 7 เกมรวดในลีก โดยสามประสานแนวรุกส่ง หลุย ดิอาซ ออกสตาร์ตตัวจริงประสานงานร่วมกับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ ซาดิโอ มาเน่
��� เปิดฉากครึ่งแรกมาเป็น ไบรท์ตัน ที่บุกเข้าใส่ก่อน และมาได้ทักทายครั้งแรกในนาทีที่ 4 ทาริค แลมป์ตีย์ ตั้งป้อมเปิดไปเข้าหัว นีล โมเปย์ แต่บอลข้ามคานออกไป
��� นาถัดมา นีล โมเปย์ ได้ลุ้นต่อเนื่องจากจังหวะสับไกด้วยขวาหน้าเขตโทษบอลพุ่งหลุดเสาแรกออกไปแบบหวุดหวิด
��� จากนั้นนาทีที่ 8 ลิเวอร์พูล ได้สวนกลับมาบ้าง และพลาดโอกาสทองเกือบขึ้นนำก่อนจากจังหวะที่ โม ซาลาห์ เปิดเรียดมาที่เสาแรกให้ ซาดิโอ มาเน่ สอดมายิงเน้นๆ แต่ไปติดบล็อกของ ลูอิส ดังค์ ที่ตามมาสกัดออกหลัง
��� ลิเวอร์พูล เริ่มตั้งเกมของตัวเองได้บ้าง จนกระทั่งนาทีที่ 20 จะมาได้ประตูขึ้นนำ 1-0 จากจังหวะที่ โจเอล มาติป ตักบอลทะลุแนวรับให้ หลุยส์ ดิอาซ หลุดเดี่ยวแล้วโหม่งสวนตัว โรเบิร์ต ซานเชซ ที่พยายามวิ่งออกมาตัดบอลส่งบอลตุงตาข่าย โดยจังหวะนี้มีการเช็ก VAR ว่าจะเป็นใบแดงของนายด่านชาวสแปนิชหรือไม่ หลังไปเข้าปะทะใส่ดาวยิงโคลอมเบียอย่างรุนแรง แต่สุดท้าย ไมค์ ดีน ไม่ได้ย้อนกลับมาลงโทษ ซานเชซ แต่อย่างใด
��� นาที 40 เทรนต์ สอดขึ้นมาทางขวาแล้วตักบอลเข้าเขตโทษให้ โม ซาลาห์ ได้โหม่งแต่บอลเบาไปเข้ามือของ โรเบิร์ต ซานเชซ
��� ลิเวอร์พูล หวิดได้ลูกสองแบบน่าเสียดายในนาทีที่ 43 จากจังหวะสวนกลับเร็ว โรเบิร์ตสัน วางบอลให้ โม ซาลาห์ ใช้ความสามารถเฉพาะตัวกระชากจากกลางสนามเข้าเขตโทษไปยิงยัดเสาแรกแต่ยังติดเซฟ โรเบิร์ต ซานเชซ
��� ช่วงเวลาที่เหลือไม่มีประตูเพิ่ม จบครึ่งแรก ลิเวอร์พูล บุกนำ ไบรท์ตัน 1-0
��� ครึ่งหลัง ไบรท์ตัน มีการปรับทัพส่ง อดัม ลัลลาน่า ลงมาเล่นแทน สตีเว่น อัลซาเต้ จากนั้นนาที 46 เกือบตามตีเสมอเมื่อ นีล โม เปย์ ใช้แขนแต่งบอลเข้าเขตโทษแล้วไหลถวายพายให้ ทรอสซาร์ ได้แปเน้นๆในเขตโทษแต่บอลเหินข้ามคาน
��� จนแล้วจนรอด ลิเวอร์พูล ก็ยังไม่ได้ลูกสอง นาที 57 โม ซาลาห์ ได้ตะบันด้วยซ้ายจ่อๆไปแฉลบบล็อกของ ลูอิส ดังก์ แต่บอลไปชนคานกระดอนมาเข้าทางปืนของ มาเน่ ตามซ้ำดาบสองก็ยังเหินข้ามคาน
��� นาทีถัดมา โม ซาลาห์ ได้โอกาสอีกหนติดๆกันเมื่อ หลุยส์ ดิอาซ จ่ายใส่พานมาที่เสาไกลให้ดาวยิงชาวอียิปต์ กดเรียดด้วยซ้ายโล่งๆแต่บอลไม่ตรงกรอบอีก
��� จนกระทั่งนาที 59 ซาดิโอ มาเน่ ซัดไปโดนแขนของ บิสซูม่า ในเขตโทษ ผู้ตัดสิน ไมค์ ดีน ชี้เป็นจุดโทษให้ ลิเวอร์พูล ทันที ก่อนจะเป็น โม ซาลาห์ รับหน้าที่สังหารเข้าไปไม่พลาดให้ "หงส์แดง" หนีห่างเป็น 2-0 ในนาทีที่ 60
��� ช่วงท้ายเกม นาที 88 ไบรท์ตัน เกือบตามตีไข่แตกจากจังหวะวิ่งมากดเต็มข้อในเขตโทษของ แดนี่ เวลเบ็ค แต่ อลิสซอน ยังโชว์ซูเปอร์เซฟปัดทิ้งไปได้
��� นาทีถัดมา ลิเวอร์พูล สวนกลับมาและพลาดได้ลูกสามแบบน่าเสียดายเมื่อ ติอาโก้ วางบอลยาวจากแนวรับให้ หลุยส์ ดิอาซ หลุดเดี่ยวกระชากเข้าเขตโทษแต่ยิงไปติดเซฟของ ซานเชซ
��� เวลาที่เหลือไม่มีประตูเพิ่ม จบเกม ลิเวอร์พูล บุกชนะ ไบรท์ตัน 2-0 เฮ 8 นัดรวด พร้อมเก็บเพิ่มเป็น 66 แต้มตามหลังจ่าฝูง แมนฯ ซิตี้ เหลือ 3 คะแนนเท่านั้น
���
��� รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
��� ไบรท์ตัน (4-3-1-2) : โรเบิร์ต ซานเชซ - โจเอล เวลท์มัน, ลูอิส ดังค์, มาร์ค คูคูเรย่า - ซอลลี่ มาร์ช, สตีเว่น อัลซาเต้ (อดัม ลัลลาน่า น.46 - ปากราล กรอสส์ น.53), แม็ค อัลลิสเตอร์, อีฟ บิสซูม่า, ทาริค แลมป์ตีย์ - เลอันโดร ทรอสซาร์, นีล โมเปย์
��� ลิเวอร์พูล (4-3-3) : อลิสซอน เบ็คเกอร์ - เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โจเอล มาติป, เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ - จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ฟาบินโญ่, นาบี เกอิต้า (ติอาโก้ อัลกันตาร่า น.64) - โมฮาเหม็ด ซาลาห์ (ดิโอโก้ โชต้า น.64), ซาดิโอ มาเน่, หลยุส์ ดิอาซ