������� ในวัย 18 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่วัยรุ่นส่วนใหญ่ต่างก็ใช้ชีวิตเที่ยวกันอย่างสนุกสนาน เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ตัดสินใจเล่นฟุตบอลในตำแหน่งกองหลังต้องเดินทางจากเมืองเบรด้า ซึ่งเป็นเมืองเกิดของตัวเอง แล้วขึ้นไปทางตอนเหนือเป็นระยะทาง 160 ไมล์ เพื่อไปยังเมืองโกรนิงเก้น
������� สำหรับ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ นี่คือการเผชิญหน้ากับดินแดนที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่เขาจำเป็นต้องทำแบบนั้น ไม่อย่างนั้นแล้วเขาก็อาจจะไม่สามารถกลายเป็นยอดนักเตะได้
������� "มันเกิดขึ้นในปี 2010" ฮันส์ นีจ์แลนด์ ผู้อำนวยการ โกรนิงเก้น เผย "ตอนอยู่กับทีมเก่าอย่าง วิลเล่ม (ทเว) เขายังไม่ได้เป็นนักเตะอาชีพ ที่นั่นเขาเป็นแค่นักเตะสมัครเล่น และไม่ได้รับสัญญาแบบนักเตะอาชีพ แต่แล้วหนึ่งในแมวมองของเราก็ไปเจอเขาในเกมระดับเยาวชน และเราก็ตัดสินใจที่จะลองเสี่ยงดึงเขามาร่วมทีม"
��� "เราให้สัญญาก้อนเล็กๆ กับเขา ตอนนั้นเขาได้ค่าเหนื่อยแค่เดือนละ 1,500 ยูโร (ประมาณ 54,000 บาท) เองล่ะมั้ง เราให้เขาพักที่อพาร์ทเมนต์ แต่ปีแรกที่เขาอยู่กับเราเขาไม่มีรถของตัวเอง เขาต้องปั่นจักรยานไปสนามซ้อม พูดตามตรงนะ ถ้าตอนนั้นเราไม่ได้เอาเขามาร่วมทีมเนี่ย ป่านนี้มันจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้"
������� สำหรับ ลิเวอร์พูล และ เจอร์เก้น คล็อปป์ แล้วนั้นไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าพวกเขาดีใจที่ในอดีต ฟาน ไดค์ ได้ไปอยู่กับ โกรนิงเก้น เพราะปัจจุบันเจ้าตัวกลายเป็นกองหลังค่าตัวแพงที่สุดในโลก ในตอนที่ย้ายจาก เซาธ์แฮมป์ตัน มาอยู่กับ ลิเวอร์พูล เมื่อเดือนมกราคม ปี 2018 ด้วยค่าตัว 75 ล้านปอนด์ (ประมาณ 3,075 ล้านบาท) และเขาก็ทำให้ ลิเวอร์พูล เปลี่ยนสถานะจากการเป็นทีมที่ทำได้แค่อวดอ้างว่าจะลุ้นแชมป์ กลายมาเป็นทีมที่ได้ลุ้นแชมป์จริงๆ เขานำความแข็งแกร่งของตัวเองมาช่วยทีมได้ และทำให้ทีมแข็งแกร่งขึ้นตามไปด้วย
��� สถิติต่างๆ เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงความยอดเยี่ยมของ ฟาน ไดค์ ได้เป็นอย่างดี ยกตัวอย่างเช่น นับตั้งแต่ที่ ลิเวอร์พูล ดึงเขามาร่วมทีมนั้น "หงส์แดง" ก็แพ้ในลีกไปเพียง 4 นัด และเสียเพียง 32 ลูก นอกจากนี้ ในฤดูกาลนี้มันก็ยังไม่มีนักเตะคนไหนที่เลี้ยงผ่าน ฟาน ไดค์ ได้อีกเลยด้วย โดยคนสุดท้ายที่เลี้ยงผ่านเขาไดเคือ มิเกล เมริโน่ ที่ทำได้เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2018 ซึ่งเป็นตอนที่ เมริโน่ อยู่กับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด (ปัจจุบัน เมริโน่ ไปเล่นให้ เรอัล โซเซียดาด)
������� ผลงานที่ว่านี้ทำให้บรรดาบ่อนรับพนันถูกกฎหมายยกให้เขาเป็นตัวเต็งที่จะได้รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ (พีเอฟเอ) ประจำฤดูกาล 2018-19 โดยถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เขาก็จะเป็นกองหลังคนแรกที่ได้รางวัลนี้ นับตั้งแต่ที่ จอห์น เทอร์รี่ เคยทำได้ในฤดูกาล 2004-05 ด้วย แม้ว่าจะต้องแข่งกับนักเตะอย่าง ราฮีม สเตอร์ลิง หรือ เอแด็น อาซาร์ ก็ตาม
��� การที่ ฟาน ไดค์ ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมแบบนี้ถือเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก เมื่อพิจารณาถึงเรื่องที่ว่าเกือบตลอดอาชีพการเล่นของเจ้าตัวนั้น หลายคนไม่เชื่อว่าเขาจะกลายเป็นยอดนักเตะของโลกได้
������� วิลเล่ม ไม่ใช่ทีมเดียวที่มองข้ามพรสวรรค์อันยอดเยี่ยมของเขา หลังจากอยู่กับ โกรนิงเก้ ได้เพียง 2 ฤดูกาล ฟาน ไดค์ ก็ย้ายไปอยู่กับ เซลติก ด้วยค่าตัว 2.8 ล้านปอนด์ (ประมาณ 114.8 ล้านบาท) ทั้งที่จริงๆ แล้ว อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม มีโอกาสได้เขาไปเฝ้าแผงหลังให้
��� "พวกเขา (เซลติก) เป็นทีมเดียวที่ไล่ล่าเขาแบบจริงจัง" นีจ์แลนด์ ระบุ "เราได้หารือกับ เซลติก ที่โรงแรมฮิลตันในกรุงอัมสเตอร์ดัม ที่จริงเราหวังว่าจะได้สัก 5 ล้านปอนด์ (ประมาณ 205 ล้านบาท) แต่มันไม่มีทีมอื่นยื่นข้อเสนอแข่งกับพวกเขา ทั้งที่จริงๆ แล้ว มาร์ค โอเวอร์มาร์ส ที่ทำงานให้กับ อาแจ็กซ์ เคยโทรศัพท์มาหาผม แล้วถามว่า -ใครน่าซื้อมากกว่ากัน ระหว่าง ไมค์ ฟาน เดอร์ ฮูร์น หรือ ฟาน ไดค์ ?- สำหรับผมน่ะคำตอบมันชัดซะยิ่งกว่าการบวกเลขซะอีก (หมายถึง ฟาน ไดค์ เก่งกว่า)"
������� อาแจ็กซ์ ไม่เชื่อคำพูดของเขา ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ดึง ฟาน เดอร์ ฮูร์น ไปเป็นตัวแทนของ โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์ ที่ตอนนั้นรอซบ แอตเลติโก มาดริด สุดท้ายแล้ว ฟาน เดอร์ ฮูร์น ก็ไปไม่รุ่งจนตอนนี้ต้องไปเล่นอยู่กับ สวอนซี ซิตี้ ทีมในระดับ เดอะ แชมเปี้ยนชิพ
��� ที่จริงแล้วมันก็ไม่ใช่ว่าทุกคนที่ เซลติก มองว่าเขาคือคนที่จะช่วยทีมได้ สกอตต์ นีล แม็คกินเนสส์ แมวมองซึ่งเป็นคนที่มองเห็นถึงแววรุ่งของ ฟาน ไดค์ เผยว่า "เฟอร์กิล มีองค์ประกอบครบถ้วนสำหรับการที่จะประสบความสำเร็จ เขาทั้งเร็ว, ทรงพลัง, เทคนิคดี, เล่นลูกกลางอากาศได้, กะจังหวะในช่วงดวลตัวต่อตัวได้ดี, เข้าสกัดได้เยี่ยม และตัดสินใจได้เฉียบขาด จริงอยู่ว่าตอนนั้นเขายังไม่ได้เก่งขนาดนี้ แต่เขาก็มีหลักความคิดที่ยอดเยี่ยมที่จะพัฒนาตัวเองจนมีศักยภาพชั้นยอดได้"
������� "ผมน่ะชอบเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอเขาด้วยซ้ำไป แต่การทำให้คนของสโมสรเห็นดีเห็นงามกับผมน่ะมันทำได้ยากมาก ท้ายที่สุดแล้วผมก็ต้องใช้ทางลัดแล้วพาเขาไปแนะนำกับ นีล เลนน่อน ผู้จัดการทีมในตอนนั้น และ โยฮัน ยัลล์บี้ ผู้ช่วยของเขาโดยตรงเลย ตอนนั้นผมกลัวว่าถ้าไม่ใช้วิธีแบบนั้นแล้วล่ะก็ เราอาจจะเสียเขาไปก็ได้"
��� ฟาน ไดค์ เป็นคนที่จริงจังกับความเป็นส่วนตัวมาก เขาไม่ค่อยอยากให้คนรู้เรื่องของเขาเท่าไหร่ ขนาดบางคนที่ให้สัมภาษณ์กับสื่อยังต้องติดต่อไปหา ฟาน ไดค์ เพื่อขออนุญาตจากเขาก่อนเลย ซึ่งดาวเตะชาวดัตช์ก็ยอมให้คนรู้จักบางคนบอกเล่าชีวิตของเขากับสื่อได้
������� ทุกวันนี้ ฟาน ไดค์ ยังสนิทสนมกับ รูบี้ คุณแม่ของเขามากๆ อยู่ แต่ความสัมพันธ์กับพ่อถือว่าตรงกันข้าม หลังจากที่พ่อแม่ของเขาแยกทางกันแบบดุเดือด นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เจ้าตัวชอบปักชื่อ "Virgil" บนชุดแข่ง ไม่ได้ใช้นามสกุลเหมือนนักเตะหลายๆ คน
��� ตอนอยู่กับ โกรนิงเก้น เขาเริ่มต้นด้วยการเป็นตัวสำรองของทีมสำรอง โดยที่ ปีเตอร์ ฮุยส์ตร้า กุนซือทีมสำรองของ โกรนิงเก้น ย้อนความหลังว่า "โค้ชต้องทำงานกับเขาแบบเข้มงวดมากๆ มันไม่มีทางเลยที่เขาจะไม่ได้ซ้อมแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ในการซ้อมถึง 2 ครั้ง จากการซ้อมทั้งหมด 5 ครั้ง เขากลายเป็นนักเตะอาชีพแบบเต็มตัว เขาเลิกเป็นคนที่อยู่กับจุดผ่อนคลายของตัวเอง และยกระดับขึ้นมา"
������� เกมแรกในทีมชุดใหญ่ของเขามันไม่ได้เป็นไปตามแผนสักเท่าไหร่ เพราะเขาต้องลงเล่นในฐานะกองหน้าจำเป็น แต่นั่นไม่ใช่ประสบการณ์ที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตการเล่นของเขา เพราะช่วงที่เขาเจอปัญหาหนักที่สุดคือตอนที่เจ้าตัวป่วยหนักในช่วงที่อยู่กับ โกรนิงเก้น โดยที่ ฮุยส์ตร้า เล่าว่า "ในตอนแรกมันดูเหมือนว่าเขาเป็นหวัดธรรมดาๆ แต่แล้วเขาก็ต้องถูกส่งโรงพยาบาลเป็นการด่วน และถูกส่งเข้าห้องไอซียู"
��� หลังจากรับการตรวจจากโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง แล้วโดนส่งตัวกลับบ้าน รูบี้ ก็ตัดสินใจพาลูกชายไปตรวจที่โรงพยาบาลแห่งที่สอง ก่อนที่จะพบว่า ฟาน ไดค์ มีอาการไส้ติ่งอักเสบ, ติดเชื้อในห้อง และปัญหาด้านไต โดย ฟาน ไดค์ ย้อนความหลังว่า "สภาพที่เลวร้ายที่สุดคือมันมีเสียงวนอยู่ในหัวผม คุณแม่ของผมกับผมสวดมนต์อ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าเลยล่ะ"
������� อาการป่วยครั้งนั้นทำให้ ฟาน ไดค์ เปลี่ยนสไตล์การใช้ชีวิตของตัวเอง โดย คีส์ คว๊าคแมน อดีตเพื่อนร่วมทีมของเขาเล่าให้ฟังว่า "ตอนยังเป็นวัยรุ่นน่ะเขาไม่เคยทำอาหารกินเองเลย เขาต้องอยู่ห่างจากบ้านเกิดของตัวเอง และอาจจะกินพวกจังค์ฟู้ดเยอะหน่อย ซึ่งอาการป่วยครั้งนั้นก็เป็นเหมือนการทำให้เขาตาสว่าง เขาคิดว่า -ถ้าฉันอยากทำอะไรสักอย่างแล้วล่ะก็ ฉันก็ต้องมีความเป็นมืออาชีพจริงๆ- หลังจากนั้นคุณแม่ของเขาก็มาอยู่กับเขา และเขาก็เริ่มทำผลงานได้โดดเด่นทันที
��� หลังจากเล่นได้น่าประทับใจกับ เซลติก ฟาน ไดค์ ก็ได้ย้ายไปเล่นในลีกระดับสูงด้วยการไปอยู่กับ เซาธ์แฮมป์ตัน และเล่นให้ โรนัลด์ คูมัน นีจ์แลนด์ ย้อนความหลังด้วยรอยยิ้มว่า "ตอนนั้น คูมัน โทรศัพท์มาหาผมแล้วบอกว่า -ฮันส์ นายดื่มไวน์ชั้นเลิศอย่างสบายใจเฉิบกับภรรยาของนายได้เลย เพราะเราเพิ่งซื้อ เฟอร์กิล มาร่วมทีมว่ะ- มันเป็นข่าวที่ยอดเยี่ยมมาก เพราะ โกรนิงเก้น ทำสัญญาเอาไว้ด้วยว่าเราต้องได้ส่วนแบ่ง 10 เปอร์เซ็นต์เมื่อมีการซื้อขายเขา ส่วนตอนที่ ลิเวอร์พูล ซื้อเขาไปน่ะ เราก็ได้มาอีก 1 เปอร์เซ็นต์"
������� ไม่ว่าจะไปอยู่กับทีมไหน ฟาน ไดค์ ก็มักจะพูดถึงเป้าหมายของเขาอย่างตรงไปตรงมา นั่นคือการก้าวขึ้นไปอีกระดับให้ได้ "ผมมักจะคิดอยู่เสมอว่า -เขาดีเกินกว่าที่จะมานั่งทู่ซี้เล่นให้เราว่ะ-" คว๊าคแมน ระบุ "ผมไม่เคยเห็นใครลากผ่านเขาในการซ้อมได้เลย มันน่าเหลือเชื่อสุดๆ เขาไม่ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างมากด้วย เขาเป็นหนึ่งในคนแรกๆ ที่จะพูดบางอย่างตอนอยู่ในห้องแต่งตัวอยู่เสมอ ซึ่งทุกคนในทีมก็ยอมให้เขาทำอย่างนั้น เพราะเขาเก่งมากๆ และอยากช่วยเราจากใจจริง สิ่งที่สำคัญคือการเล่นด้วยมาตรฐานระดับสูง"
��� "จะบอกให้ว่าผมนี่แหละคือหนึ่งในคนที่ช่วยทำให้ เฟอร์กิล ติดทีมชาติ ตอนที่เขาอยู่กับ เซลติก ผมพร่ำทวีตถามอยู่เสมอว่าทำไมเขาถึงไม่ติดทีมชาติฮอลแลนด์สักที ฮอลแลนด์ มีปัญหาในตำแหน่งเซนเตอร์แบ็กในปี 2014 กับ 2015 แต่ไม่มีใครดูเกมฟุตบอลของสกอตแลนด์ทางโทรทัศน์เลย ผมภูมิใจในตัวเขามากๆ เลยล่ะ"
������� ทั้งนี้ ฟาน ไดค์ เคยเปิดใจว่านี่เป็นช่วงที่ตนฟิตมากที่สุดด้วย "ผมกำลังพัฒนาได้ดีในฐานะนักเตะ ผมเติบโตขึ้น และเล่นได้คงเส้นคงวา เจอร์เก้น ทำงานกับผมอย่างใกล้ชิด เขาช่วยพัฒนาเกมการเล่นของผม ตอนนี้ผมได้ลงเล่นเกือบทุกนัด และสนุกกับมันมากๆ นี่เป็นช่วงที่ผมรู้สึกฟิตมากที่สุดเท่าที่เคยเล่นมาในอาชีพของผม ก็หวังว่าผมจะยังเป็นแบบนี้ได้ต่อไปนะ เรากำลังอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง"
��� ตอนนี้ ลิเวอร์พูล คงมีเรื่องที่ต้องกลัวเพียงแค่อย่างเดียว นั่นคือเรื่องที่ ฟาน ไดค์ อาจจะย้ายไปอยู่กับ บาร์เซโลน่า ในอนาคต เหมือนที่พวกเขาเคยเสีย หลุยส์ ซัวเรซ กับ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ ไปให้ "อาซูลกราน่า" มาแล้ว โดย คว๊าคแมน ทำให้เหล่า "เดอะ ค็อป" ต้องเสียวยิ่งกว่าเดิม เมื่อแฉว่า ฟาน ไดค์ เคยบอกเองว่าสักวันหนึ่งอยากย้ายไปอยู่กับยอดทีมแห่งถิ่น คัมป์ นู มากๆ "สมัยอยู่กับ โกรนิงเก้น ผมจำได้แม่นเลยว่าเขาเคยให้สัมภาษณ์ว่าการไปเล่นให้ บาร์เซโลน่า คือความฝันของเขา ถ้าเกิด บาร์เซโลน่า ควักกระเป๋าเป็นเงินสัก 150 ล้านปอนด์ (ประมาณ 6,150 ล้านบาท) แล้วล่ะก็ พวกเขาก็อาจจะได้เขาไปร่วมทีมก็ได้!"
������� ถึงกระนั้น ตอนนี้เงิน 150 ล้านปอนด์ ก็อาจจะเป็นค่าตัวที่ถูกเกินไปด้วยซ้ำ เมื่อพิจารณาถึงเรื่องที่ว่าตอนนี้ ฟาน ไดค์ มีแววว่าจะได้รางวัลแข้งยอดเยี่ยมของ พีเอฟเอ ไปครอง แถมเมื่อไม่นานมานี้เขาก็ได้ดีกรีชั้นยอดติดตัวไปแล้ว จากการที่ โฟร์โฟร์ทู นิตยสารชื่อดังในวงการลูกหนังยกให้เขาเป็นนักเตะยอดเยี่ยมของ พรีเมียร์ลีก ประจำซีซั่น 2018-19