������ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ กลายเป็นซูเปอร์ซับฮีโร่ของ ลิเวอร์พูล หลังลงมาช่วง 5 นาทีสุดท้ยของเกมก่อนซัดประตูชัยในช่วงทดเจ็บพาทีมเฉือนเอาชนะ มอนเตอร์เรย์ ทีมจากเม็กซิโกไปแบบหวุดหวิด 2-1 ผ่านเข้าไปชิงฯสโมสรโลกกับ ฟลาเมงโก้ ในวันเสาร์นี้
������ สนาม : คาลิฟา อินเตอร์เนชันแนล สเตเดี้ยม, กาตาร์ (สนามกลาง)
��� ศึกฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 2019 ที่ประเทศกาตาร์ รอบรองชนะเลิศ เป็นการพบกันระหว่าง มอนเตอร์เรย์ จากเม็กซิโกซึ่งมีดีกรีเป็นแชมป์คอนคาเคฟ แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งเกมที่แล้วในรอบก่อนรองฯ มอนเตอร์เรย์ เบียดเอาชนะ อัล ซาดด์ 3-2 พบกับ ลิเวอร์พูล แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก จากอังกฤษ ที่ยังไม่เคยได้แชมป์รายการนี้ลงเล่นเป็นนัดแรก
��� การจัดตัวเกมนี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ หมดสิทธิ์ใช้งาน เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ที่ป่วยทำให้ โจ โกเมซ ยืนเซ็นเตอร์แบ็กคู่กับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ส่วน 3 แนวรุกเป็น เซอร์ดาน ชากีรี่, ดิว็อค โอริกี และโมฮาเหม็ด ซาลาห์ ขณะที่มอนเตอร์เรย์ มี โรเคลิโอ ฟูเนส โมรี่ ยืนหน้าเป้า และใช้� โรดอลโฟ่ ปิซาร์โร่, เฮซุส กายาร์โด้ และดอร์ลาน ปาบอน ทำเกมรุกอยู่ข้างหลัง
���
��� ออกสตาร์ทเกมมาได้แค่ 4 นาที "หงส์แดง" ได้ทักทายก่อนเลย หลัง เซอร์ดาน ชากีรี่ รับบอลจาก โจ โกเมซ ก่อนปั่นด้วยซ้ายนอกกรอบแต่บอลห่างกรอบออกไปไกล
��� กระนั้น ลิเวอร์พูล ยังครองเกมได้เหนือกว่า ก่อนนาทีที่ 12 จะมาได้ประตูขึ้นนำ 1-0 จากจังหวะที่ เจมส์ มิลเนอร์ จ่ายบอลฝากให้ ซาลาห์ ก่อนแข้งชาวอียิปต์จะพลิกจ่ายทะลุช่องด้วยซ้ายให้ นาบี เกอิต้า หลุดเข้าอัดด้วยขวาส่งบอลตุงตาข่าย
��� แต่อีกสองนาทีถัดมา มอนเตอร์เรย์ มาทวงประตูไล่ตีเสมอ 1-1 ทันควัน บอลจากลูกเซ็ตพีซกลางสนามวางยาวมาในกรอบของฝั่งหงส์แดง เซซาร์ มอนเตส โขกหนุนให้ เฮซุส กายาร์โด้ หลุดเข้าไปกดด้วยซ้ายเต็มข้อแต่บอลไปติดเซฟของ อลิสซอน ทว่ายังไม่พ้นอันตรายบอลมาเข้าทาง โรเคลิโอ ฟูเนส โมรี่ ตามซ้ำโล่งๆเข้าไป
���
��� นาที 23 ทัพหงส์เกือบได้ลุ้นขึ้นนำอีกหน หลัง เจมส์ มิลเนอร์ หลุดเข้าไปดีดบอลด้วยขวาในกรอบ 6 หลา แต่บอลยังไม่ผ่านมือ มาร์เซโล่ บาโรเวโร่ ปิดมุมก่อนรับบอลไว้ได้
��� มอนเตอร์เรย์ ก็ไม่ยอมง่ายๆ เปิดเกมรุกสวนกลับ นาที 27 โรเคลิโอ ฟูเนส โมรี่ จ่ายบอลออกขวาให้ ดอร์ลาน ปาบอน กดด้วยขวานอกกรอบ บอลพุ่งไปเสาไกลจน อลิสซอน ต้องพุ่งปัดออกไปหวุดหวิด
��� นาที 36 ทีมดังจากเม็กซิโกพลาดโอกาสได้ประตูขึ้นนำบ้าง หลังแนวรับหงส์แดงเช็กล้ำหน้าพลาด ดอร์ลาน ปาบอน หลุดเข้าไปในกรอบทางขวาแล้วกึ่งยิงกึ่งผ่านเข้ามา บอลจะถึง ฟูเนส โมรี่ ที่ยืนอยู่โล่งๆอยู่แล้วแต่ดีที่ อลิสซอน ยังพุ่งปัดปลายนิ้วเปลี่ยนทางบอลช่วยทีมไว้ได้
��� นาที 43 ทัพหงส์แดงได้ลุ้นอีกหน คราวนี้ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน จ่ายเข้ากลางให้ อ็อกซ์เล็ด-แชมเบอร์เลน ดึงจังหวะแล้วแทงบอลทะลุคู่เซ็นเตอร์แบ็กให้ นาบี เกอิต้า หลุดเข้าไปพยายามแตะบอลหลบ บาโรเวโร่ แต่นายด่านมอนเตอร์เรย์ยังไวบล็อครับบอลไว้ได้ทัน
��� จบครึ่งแรก มอนเตอร์เรย์ ยังเสมอกับ ลิเวอร์พูล 1-1
��� กลับมาบู๊ต่อในครึ่งหลัง นาที 48 แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน เติมขึ้นสูงก่อนหวดด้วยซ้ายเต็มข้อบอลเหินโด่งไปไกล อีก 2 นาทีต่อมา มอนเตอร์เรย์ ได้ลุ้นจากฟรีคิกนอกกรอบกว่า 25 หลา ดอร์ลาน ปาบอน วิ่งมาปั่นบอลข้ามกำแพงจะมุดเสียบเสาแรกอยู่แล้วแต่ อลิสซอน ยังโชว์เซฟบินไปปัดออกไปแบบหวุดหวิดอีกครั้ง
��� นาที 51 ดอร์ลาน ปาบอน ที่เล่นได้โดดเด่นป่วนแนวรับ หงส์แดง หลังรับลูกจ่ายของ เฮซุส กายาร์โด้ ก่อนจะหวดด้วยขวาข้างถนัดบอลพุ่งเข้ากรอบแต่ยังไปตรงตัว อลิสซอน ที่รับไว้ได้ไม่มีปัญหา
��� นาที 58 อดัม ลัลลาน่า จ่ายบอลต่อให้ นาบี เกอิต้า โชว์สเต็ปเลี้ยงบอลหลบแนวรับมอนเตอร์เรย์สองคนก่อนหลุดเข้าไปซัดด้วยขวาแต่บอลพุ่งไปตรงตัว มาร์เซโล่ บาโรเวโร่ เซฟไว้ได้
���
��� นาที 67 โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ได้โอกาสหลุดเข้าไปซัดด้วยซ้ายบ้างแต่บอลยังไม่ผ่านตัว มาร์เซโล่ บาโรเวโร่ รับไว้เหนียวหนึบ ก่อนนาทีถัดมา เจอร์เก้น คล็อปป์ จะเปลี่ยนตัวคนแรก ส่ง ซาดิโอ มาเน่ ลงไปเล่นแทนเซอร์ดาน ชากิรี่
��� นาที 74 แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 6 สมัย พลาดโอกาสขึ้นนำอีกครั้ง หลัง อ็อกซ์เล็ด-แชมเบอร์เลน ถ่ายบอลออกด้านขวาให้ เจมส์ มิลเนอร์ ปาดบอลเข้ามากลางประตูให้ ดิว็อค โอริกี้ ยิงด้วยขวาแต่บอลไปแฉลบอกของ มาเน่ หลุดกรอบออกไปอย่างน่าเสียดาย
��� นาที 81 ซาดิโอ มาเน่ รับบอลจากแชมเบอร์เลน ก่อนตั้งป้อมยิงไกลนอกกรอบ บอลพุ่งแรงแต่ยังไปตรงตัวของ มาร์เซโล่ บาโรเวโร่ รับไว้ได้
��� เจอร์เก้น คล็อปป์ ส่งผู้เล่นคนสุดท้ายถอดเอา ดิว็อค โอริกี ออกแล้วส่ง โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ลงเล่นแทน
��� เกมทำท่าว่าจะต้องต่อเวลาพิเศษออกไป แต่แล้วในช่วงทดเวลาเจ็บ นาที 90+1 สองตัวสำรองโชว์ทีเด็ด หลัง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ จ่ายบอลเลียดไปเสาแรกให้ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ยิงด้วยขวาผ่านตัว มาร์เซโล่ บาโรเวโร่ เข้าไป
��� ก่อนอีกไม่กี่นาทีต่อมา ผู้ตัดสินจะเป่านกหวีดจบเกม เป็นอันว่า ลิเวอร์พูล เบียดเอาชนะ มอนเตอร์เรย์ ไปแบบหืดจับ 2-1 ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศ ศึกสโมสรโลกพบกับ ฟลาเมงโก้ ในวันเสาร์ที่ 21 ธ.ค. นี้
������� รายชื่อผู้เล่นที่ลงสนาม
������� มอนเตอร์เรย์ (4-2-3-1) : มาร์เซโล่ บาโรเวโร่ - สเตฟาน เมดิน่า, เซซาร์ มอนเตส (มิเกล ลายุน น.79), นิโกลัส ซานเชซ, ลิโอเนล วานโจนี่ - เซลโซ่ ออร์ติซ, การ์ลอส โรดรีเกซ - ดอร์ลาน ปาบอน (แม็กซิมิเลียโน่ เมซ่า น.82), โรดอลโฟ่ ปิซาร์โร่ (โจนาธาน กอนซาเลซ น.90), เฮซุส กายาร์โด้ - โรเคลิโอ ฟูเนส โมริ
������� เทรนเนอร์ : อันโตนิโอ โมฮาเหม็ด
������� ลิเวอร์พูล (4-3-3) : อลิสซอน เบ็คเกอร์ - เจมส์ มิลเนอร์ (เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ น.75), จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, โจ โกเมซ, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน - อเล็กซ์ อ็อกซ์เล็ด-แชมเบอร์เลน, นาบี เกอิต้า, อดัม ลัลลาน่า - โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ดิว็อค โอริกี (โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ น.85), เซอร์ดาน ชากีรี่ (ซาดิโอ มาเน่ น.68)
������� เทรนเนอร์ : เจอร์เก้น คล็อปป์
������� ผู้ตัดสิน : โรเบร์โต้ โตบาร์ (ชิลี)