����� แชมป์เก่า ลิเวอร์พูล มีอันต้องกระเด็นตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย แม้ จอร์จินโย่ ไวนัลดุม จะยิงให้ทีม 1-0 ในเวลา แต่ช่วงต่อเวลาพิเศษเจอทีเด็ดของ มาร์กอส ยอเรนเต้ ที่เหมาสองประตู และปิดท้ายที่ อัลบาโร่ โมราต้า ช่วยให้ "ตราหมี" ทำแสบบุกมาอัดหงส์แดง 3-2 สกอร์รวม 2 นัด 4-2 ผ่านเข้าไปเล่นในรอบ 8 ทีมสุดท้ายสำเร็จ ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา
����� สนาม : แอนฟิลด์
��� ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดสอง แชมป์เก่ารายการนี้อย่าง ลิเวอร์พูล กลับมาเฝ้ารังรับการมาเยือนของ แอตเลติโก มาดริด โดยผลการแข่งขันนัดแรกเป็นฝั่ง "ตราหมี" ที่ตุนสกอร์กุมความได้เปรียบไว้ก่อน 1-0
��� เจอร์เก้น คล็อปป์ เกมนี้ข่าวดีคือได้ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กลับมาคุมกลาง โดยมีสามแนวรุกตัวเก่งเหมือนเดิมทั้ง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และซาดิโอ มาเน่ ขณะที่ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ เปลี่ยนหน้าคู่จากเกมแรกมาใช้ตัวหลักอย่าง ชูเอา เฟลิกซ์ และดีเอโก้ คอสต้า โดยมี ซาอูล ญิเกซ กัปตันทีมซึ่งซัดประตูชัยในเกมแรกคอยบัญชาเกมแดนกลาง
��� ออกสตาร์ทครึ่งแรกมาได้แค่ 10 วินาที "ตราหมี" เกือบได้ลุ้นประตูขึ้นนำก่อน หลัง ชูเอา เฟลิกซ์ จ่ายตัดหลังให้ ดีเอโก้ คอสต้า หลุดกับดักล้ำหน้าเข้าไปซัดด้วยขวามุมแคบบอลหลุดกรอบเข้าข้างตาข่ายแค่ได้เสียว
��� นาทีที่ 5 ลิเวอร์พูล ได้โอกาสลุ้นบ้างหลัง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ครอสบอลมากลางประตูให้ จอร์จินโย่ ไวนัลดุม เทกตัวขึ้นโขกแต่บอลไม่แรงพอก่อนไปเข้ามือ ยาน โอบลัค
��� กลายเป็น "หงส์แดง" ที่คุมเกมได้อยู่หมัด นาที 10 โม ซาลาห์ หักเข้ากลางก่อนปั่นด้วยซ้ายเหินข้ามคาน อีกนาทีถัดมา ซาลาห์ จ่ายให้กัปตันเฮนโด้ลองยิงจากแถวสองดูบ้างแต่บอลก็หลุดกรอบออกไป
��� นาที 14 เจ้าถิ่นพลาดโอกาสขึ้นนำอีกครั้ง คราวนี้เป็นจังหวะเติมขึ้นมาของ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ที่ซัดด้วยขวาเสาแรกสุดแรงแต่บอลยังไม่ผ่านตัว ยาน โอบลัค
��� นาที 21 แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน เปิดเตะมุมมากลางประตูให้ ซาดิโอ มาเน่ เทกตัวโขกไปติดหัว เรนาน โลดี้ ก่อนบอลจะเกือบมาถึง ฟาน ไดค์ ที่ยืนรอเสาสองแต่ดีที่แนวรับตราหมีเคลียร์สกัดออกไปได้พ้น
��� นาที 34 โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แย่งบอลมาจาก เรนาน โลดี้ ได้ก่อนดีดไซด์ก้อยเข้ากลางให้ ซาดิโอ มาเน่ วิ่งมาแปด้วยขวาแต่บอลยังไปตรงตัว ยาน โอบลัค อีกสองนาทีถัดมา "หงส์แดง" ชวดโอกาสขึ้นนำอีก เมื่อไอ้หนูเทรนท์ครอสมาเสาแรกให้ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ พุ่งชาร์จบอลเปลี่ยนทางจะเข้าประตูอยู่แล้วแต่ โอบลัค ยังเหนียวเซฟด้วยมือเดียวออกไปได้
��� แต่แล้ว นาที 43 แฟนเดอะ ค็อปต้องเฮกันลั่นทั่วแอนฟิลด์ หลัง "หงส์แดง" มาได้ประตูที่ต้องการขึ้นนำ 1-0 บอลจาก อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ครอสบอลมากลางประตูให้ จอร์จินโย่ ไวนัลดุม ขึ้นเทกโขกบอลลงพื้นหนีมือ ยาน โอบลัค เข้าไปอย่างเด็ดขาด ทำให้สกอร์รวมตอนนี้เสมอกัน 1-1
��� จบครึ่งแรก ลิเวอร์พูล ขึ้นนำ แอตเลติโก มาดริด 1-0 (สกอร์รวม2นัด 1-1)
��� * สถิติครึ่งแรก โอกาสยิง (เข้ากรอบ) - ลิเวอร์พูล 11 (5) VS แอต.มาดริด 2 (0)
��� กลับมาเล่นต่อในครึ่งหลัง นาที 48 แฟนเจ้าถิ่นกือบได้เฮอีกหลัง จอร์จินโย่ ไวนัลดุม วางบอลยาวมาให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ พักบอลลงก่อนเอี่ยวตัวยิงด้วยซ้ายแต่บอลยังไปตรงตัว ยาน โอบลัค
��� อีกสองนาทีต่อมา แชมเบอร์เลน เปิดยาวไปเสาไกลให้ ซาดิโอ มาเน่ วิ่งมาวอลเลย์ด้วยซ้ายไปติดเซฟของนายด่านสโลวีเนียอีก แต่ผู้ตัดสินเป่าเป็นล้ำหน้าไปก่อน
��� แชมเบอร์เลน ที่วันนี้เล่นได้โดดเด่นในแดนกลาง เกือบพังประตูที่สองให้เจ้าบ้านอีก หลัง นาที 54 ต้องป้อมซัดนอกกรอบ บอลพุ่งเลียดจน ยาน โอบลัค ต้องพุ่งเซฟปัดมือเดียวออกไปอีก
��� นาที 56 ซิเมโอเน่ แก้เกมก่อนเลยถอนเอา ดีเอโก้ คอสต้า ออกแล้วส่ง มาร์กอส ยอเรนเต้ ลงไปปั้นเกมแทน และแค่ไม่กี่วินาทีในสนาม ยอเรนเต้ ลงมาถึงก็จ่ายให้ ชูเอา เฟลิกซ์ ซัดนอกกรอบแต่ยังดีที่ไม่แรงไปเข้ามือ อาเดรียน
��� นาที 60 เดอะ ค็อป เกือบเงียบกันกริบอีก หลัง ซาอูล ญิเกซ แทงบอลสวนกลับอย่างแม่นให้ เฟลิกซ์ หลุดเข้าไปอัดด้วยขวาบอลพุ่งตกพื้นจน อาเดรียน รับไม่อยู่ ก่อนกระฉอกมาเข้าทาง กอร์เรอา ที่ตามซ้ำแต่ อาเดรียน ยังพุ่งมาบล็อคได้ทัน
��� นาที 66 "หงส์แดง" ชวดได้ประตูนำห่างแบบสุดๆ หลัง ซาลาห์ ตักบอลไปเสาสอง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน สอดเข้ามาโหม่งแต่บอลไปชนคานอย่างน่าเสียดาย
��� เจ้าถิ่นออกอาวุธได้เด็ดดวงกว่า นาที 69 เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เก็บตกแถวสองก่อนตะบันด้วยขวาเต็มแรงจน โอบลัค ต้องปัดออกไป บอลมาเข้าทาง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ตามมาซ้ำด้วยซ้ายแต่ยังไปติดบล็อค คีแรน ทริปเปียร์
��� ท้ายเกมเจ้าบ้านโหมบุกใส่เป็นชุด นาที 85 ซาดิโอ มาเน่ ยิงท่ายากตีลังกาซัดด้วยขวาเหินคานออกไป ถัดมาอีกสองนาที โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ได้ปั่นด้วยซ้ายอีกแต่บอลก็หลุดกรอบออกไปแบบได้เสียว
��� ช่วงทดเจ็บ นาที 90+1 ซาลาห์ ได้หวดด้วยซ้ายในกรอบอีกทีแต่คราวนี้ก็ยังไม่ผ่าน ยาน โอบลัค
��� นาที 90+3 โอกาสลุ้นหนสุดท้ายเป็นของ "ตราหมี" คราวนี้ได้ฟรีคิกทางมุมซ้าย เรนาน โลดี้ เปิดโค้งไปเข้าหัว ซาอูล ญิเกซ โขกตัวตุงตาข่าย ทว่า ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ และแข้งตราหมีต้องดีใจกันเก้อเมื่อเป็นจังหวะล้ำหน้าไปก่อนแล้วของ ญิเกซ
��� จบการแข่งขัน ลิเวอร์พูล เฉือนเอาชนะ แอต.มาดริด 1-0 ทำให้สกอร์รวมสองนัดเสมอกัน 1-1 ต้องต่อเวลาพิเศษออกไปอีก 30 นาที
��� ช่วงต่อเวลาฯ นาที 94 ลิเวอร์พูล มาได้ประตูนำห่าง 2-0 จนได้ ไวนัลดุม ครอสมากลางประตูให้ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ โขกไปชนเสาแต่บอลยังกระดอนมาเข้าเท้า ฟีร์มีโน่ ยิงซ้ำด้วยขวาเข้าไปอีกที เป็นประตูแรกในแอนฟิลด์ซีซั่นนี้ของดาวยิงทีมชาติบราซิล
��� แต่แฟนหงส์ดีใจได้ไม่นาน อีกสองนาทีต่อมา อาเดรียน มาออกบอลพลาดออกบอลไปเข้าทาง ชูเอา เฟลิกซ์ ก่อนสตาร์ค่าตัวสถิติสโมสรจะจ่ายขึ้นหน้าให้ มาร์กอส ยอเรนเต้ หลุดเข้าไปซัดด้วยขวาหนีมือ อาเดรียน เสียบเสาไกล สกอร์ไล่มาเป็น 1-2 ทว่าประตูรวมแม้เสมอกัน 2-2 แต่ แอต.มาดริด ได้เปรียบเรื่องประตูทีมเยือน
��� เท่านั้นไม่พอ แนวรับ ลิเวอร์พูล มาพลาดอีก นาที 105 "ตราหมี" สวนกลับเร็ว อัลบาโร่ โมราต้า หลุดไปทางขวาแล้วจ่ายเข้ากลางมาให้ มาร์กอส ยอเรนเต้ เลี้ยงจี้หน้ากรอบแล้วปั่นเสาแรกหนีมือ อาเดรียน เข้าไปอย่างสวยงามให้ แอต.มาดริด ไล่ตีเสมอ 2-2 แต่สกอร์รวมนำห่างเป็น 3-2
��� โดย "หงส์แดง" ต้องยิงถึง 2 ลูกเพื่อผ่านเข้าไปเล่นในรอบต่อไป ทว่าช่วงนาทีที่ 120 โมราต้า หลุดเข้าไปซัดเสาแรกหนีมือ อาเดรียน เข้าไปทำให้ ตราหมีขึ้นนำ 3-2 ก่อนที่ผู้ตัดสินจะเป่าจบเกม ทำให้รวมผล 2 นัด "ตราหมี" ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยประตูรวม 4-2
������ รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
������� ลิเวอร์พูล (4-3-3) : อาเดรียน - เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โจ โกเมซ, เฟอร์กิล ฟาน ไดจ์ค, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน - จอร์แดน เฮนเดอร์สัน (ฟาบินโญ่ น.105), อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน (เจมส์ มิลเนอร์ น.82), จอร์จินโย่ ไวนัลดุม (ดิว็อค โอริกี้ น.105) - โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ (ทาคูมิ มินามิโนะ น.113), ซาดิโอ มาเน่�
������� เทรนเนอร์ : เจอร์เก้น คล็อปป์
������� แอตเลติโก มาดริด (4-4-2) : ยาน โอบลัค - คีแรน ทริพเพียร์ (ซิเม เวร์ซัลจ์โก้ น.90), สเตฟาน ซาวิช, เฟลิเป้, เรนาน โลดี้ - ซาอูล ญีเกซ, โธมัส ปาร์เตย์, โกเก้, อังเคล กอร์เรอา (โชเซ่ ฆิเมเนซ น.105) - ชูเอา เฟลิกซ์ (อัลบาโร่ โมราต้า น.103), ดีเอโก้ คอสต้า (มาร์กอส ยอเรนเต้ น.56)
������� เทรนเนอร์ : ดีเอโก้ ซิเมโอเน่���
������� ผู้ตัดสิน : ดานนี่ มัคเคลี่ (ฮอลแลนด์)