���������� 9 มิถุนายน 2011 คือวันแรกที่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ย้ายจากซันเดอร์แลนด์มาอยู่กับลิเวอร์พูล ย้อนกลับไปคือวันนี้เมื่อ 9 ปีก่อน
���������� นับจากวันนั้นเฮนเดอร์สันลงเล่นให้สโมสรไปแล้ว 359 นัด ทำไป 28 ประตู พร้อมคว้าแชมป์กับทีมไปแล้ว 4 รายการด้วยกัน โดย 3 รายการเกิดขึ้นเมื่อปี 2019 ที่ผ่านมาที่เขาได้ชูถ้วยในฐานะกัปตันทีม
���������� วันนี้พาย้อนกลับไปดูช่วงเวลาของเฮนโด้นับตั้งแต่ปีแรกที่ย้ายมาอยู่ในถิ่นแอนฟิลด์ ว่าไฮไลท์ของเขามีอะไรบ้าง
���������� 2011-12 - ลงเล่นทุกรายการ 48 นัด ทำไป 2 ประตู
���������� เฮนโด้ย้ายมาอยู่กับลิเวอร์พูลเป็นฤดูกาลแรก หลังผ่านการเล่นในพรีเมียร์ลีกให้กับซันเดอร์แลนด์มาแล้ว 2 ฤดูกาล และเขายังเป็นนักเตะคนแรกที่ เคนนี่ ดัลกลิช เซ็นสัญญามาสู่ทีมในซัมเมอร์นั้นด้วย
���������� เฮนเดอร์สันได้เสื้อหมายเลข 14 โดยได้ลงสนามเจอกับทีมเก่าของเขาเองซันเดอร์แลนด์ในเกมเปิดฤดูกาลเลย ก่อนมาทำประตูแรกในสีเสื้อลิเวอร์พูลได้ในอีกสิบสี่วันต่อมาในเกมเจอกับ โบลตัน วันเดอร์เรอร์ส ที่แอนฟิลด์
���������� ส่วนมากแล้วในฤดูกาลแรกจะถูกจับเล่นเป็นมิดฟิลด์ฝั่งขวา โดยเฮนโด้ได้ลงเล่นไปถึง 37 นัดในพรีเมียร์ลีก พลาดการลงสนามไปแค่นัดเดียว โดยฤดูกาลนั้นทีมหงส์แดงจบที่อันดับ 8 แต่คว้าแชมป์ลีก คัพ ในฤดูกาลนั้น
��������� โดยเฮนโด้ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงในเกมลีก คัพ ที่ชนะคาร์ดิฟฟ์ในการดวลจุดโทษ ส่วนในเอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศที่ได้ลงตัวจริงเหมือนกันแต่ทีมพ่ายต่อเชลซี
���������� 2012-13 - ลงเล่นทุกรายการ 44 นัด ทำไป 6 ประตู
��������� ในซัมเมอร์ปี 2012 เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เข้ามาคุมทีมลิเวอร์พูล และมีข่าวลือเรื่องอนาคตของเฮนเดอร์สันด้วย แต่สุดท้ายเขาก็ยังได้อยู่ค้าแข้งในถิ่นเมอร์ซีไซด์ต่อไป
��������� การตัดสินใจนั้นถูกต้องที่สุด เพราะฤดูกาลนี้เป็นฤดูกาลที่เฮนเดอร์สันเริ่มได้โอกาสลงเล่นเป็นตัวจริงอย่างต่อเนื่องจนจบฤดูกาล
��������� "นั่นคือช่วงเวลาที่สำคัญมากในการค้าแข้งของผม ไม่เฉพาะกับที่ลิเวอร์พูลนะ แต่มันเป็นเส้นทางการเล่นฟุตบอลของผมโดยทั่วไปเลย" เฮนเดอร์สันพูดถึงฤดูกาลนี้ "ผมคิดว่ามันเป็นช่วงเวลาสำคัญ และมันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่หนึ่งนั้นคือมันช่วยผมได้มาก เมื่อมองย้อนกลับไป"
��������� "ผมไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าผมไม่ได้มีช่วงเวลานั้น มันเป็นช่วงเวลาที่หนักแต่ขอบคุณที่มันได้ผลออกมาโอเคในท้ายที่สุด"
��������� "เป็นการยุติธรรมที่ต้องให้เครดิตสำหรับเบรนแดน เขาปฏิบัติยอดเยี่ยมกับผมหลังจากจุดนั้น เขาช่วยให้ผมเติบโตทั้งในฐานะผู้เล่นและคนๆ นึง ผมเติบโตขึ้นภายใต้การดูแลของเขา"
��������� 2013-14 - ลงเล่นทุกรายการ 40 นัด ทำไป 5 ประตู
��������� อิทธิพลของเฮนเดอร์สันยังคงเบ่งบานอย่างต่อเนื่องมาในฤดูกาลนี้ ด้วยพลัง, ความสามารถในด้านกีฬา และเป็นส่วนหนึ่งของระบบของ ร็อดเจอร์ส
��������� ในตอนนี้ลิเวอร์พูลเริ่มมีการปรับมาเล่นเป็นกองกลาง 3 คน เฮนเดอร์สันเติบโตอย่างเห็นได้ชัดในเรื่องความมั่นใจเมื่อมี ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ และ หลุยส์ ซัวเรซ ที่ยิงประตูอย่างร้อนแรกจนกลายเป็นผู้ท้าชิงแชมป์อย่างไม่มีใครคาดคิด
��������� เฮนเดอร์สันยังคงได้เล่นอย่างสม่ำเสมอ ได้ลงเล่นเป็นตัวจริง 35 จาก 38 นัดในพรีเมียร์ลีกตลอดทั้งฤดูกาล พลาดไปแค่สามนัดเพราะโทษแบน
��������� ในช่วงที่เฮนโด้ไม่ได้ลงสนาม ทีมทำคะแนนหล่นในช่วงที่กำลังแย่งชิงตำแหน่งแชมป์อยู่ สุดท้ายก็จบฤดูกาลด้วยตำแหน่งแค่รองแชมป์ต่อจากแมนฯ ซิตี้
��������� 2014-15 - ลงเล่นทุกรายการ 54 นัด ทำไป 7 ประตู
��������� เฮนเดอร์สันได้รับการแต่งตั้งเป็นรองกัปตันทีม คอยสนับสนุน สตีเว่น เจอร์ราร์ด
�������� ในทางสถิติแล้ว เฮนเดอร์สัน ลงเล่นให้ลิเวอร์พูลมากที่สุดในหนึ่งฤดูกาล โดยลงเล่นไปถึง 54 นัดทุกรายการและทำไป 7 ประตู
�������� อย่างไรก็ตาม ทีมของร็อดเจอร์สไม่สามารถพัฒนาผลงานต่อเนื่องได้เหมือนปีก่อน โดยทีมหล่นไปอยู่อันดับที่ 6 ในตารางพรีเมียร์ลีก
�������� ในปีสุดท้าของสตีเว่น เจอร์ราร์ดที่แอนฟิลด์ ปรากฏว่าในเอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ ลิเวอร์พูลกลับพ่ายต่อแอสตัน วิลล่า ที่เวมบลีย์ ทำให้ปีนี้ไม่มีถ้วยแชมป์ติดมือ
��������� 2015-16 - ลงเล่นทุกรายการ 26 นัด ทำไป 2 ประตู
��������� เป็นฤดูกาลที่ เฮนเดอร์สัน ได้รับมอบตำแหน่งกัปตันทีมลิเวอร์พูลอย่างเป็นทางการ โดยร็อดเจอร์สแต่งตั้งเขาในช่วงซัมเมอร์ปี 2015 ซึ่งเจอร์ราร์ดไม่อยู่กับทีมแล้ว
��������� "ผมได้เรียนรู้มากมายจาก สตีวี่ (เจอร์ราร์ด) รวมถึงแนวทางที่เขาปฏิบัติตัวเองในฐานะกัปตันของสโมสรแห่งนี้ทั้งในและนอกสนาม" เฮนเดอร์สันกล่าวในวันที่รับตำแหน่งสำคัญ "คุณย่อมเรียนรู้จากนักเตะชั้นยอดอยู่เสมอ และนั่นคือสตีวี่อย่างแน่นอน"
��������� "ผมจะใช้สิ่งที่ผมเรียนรู้จากเขามาช่วยผม (ในฐานะกัปตันคนใหม่) แต่ผมเองก็ต้องทำในสิ่งที่คิดว่าถูกต้องด้วย"
��������� "ผมจะดำเนินมันต่อจากสิ่งที่ผมเคยทำเมื่อฤดูกาลก่อนและผมจะพยายามเพิ่มความรับผิดชอบต่อทีมและเพื่อนร่วมทีมของผมด้วย พวกเราทั้งหมดมีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือการนำความสำเร็จมาสู่สโมสรแห่งนี้ และเหล่ากองเชียร์ที่ยอดเยี่ยม"
��������� แต่เมื่อผ่านถึงเดือนตุลาคม ร็อดเจอร์สทำผลงานไม่ดี ทำให้โดนปลด สโมสรแต่งตั้ง เจอร์เก้น คล็อปป์ มาคุมทีมแทน ซึ่งในช่วงของนายใหญ่ชาวเยอรมันนั้นส่วนใหญ่แล้ว เฮนเดอร์สัน มีอาการบาดเจ็บ, ฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลแพ้ในนัดชิง ลีก คัพ และท้ายสุดเลยคือลิเวอร์พูลแพ้ต่อเซบีญ่าในนัดชิง ยูโรป้า ลีกด้วย โดยที่เฮนเดอร์สันมีชื่อในม้านั่งสำรอง"
���������� 2016-17 - ลงเล่นทุกรายการ 27 นัด ทำไป 1 ประตู
��������� เฮนเดอร์สันถูกจับไปเล่นในตำแหน่งตัวทำเกมแนวลึก ซึ่งเป็นสไตล์การเล่นที่คล็อปป์นำมาใช้กับลิเวอร์พูล
���������� ลิเวอร์พูลออกสตาร์ทฤดูกาลใหม่ได้แข็งแกร่ง เฮนเดอร์สันฝากผลงานยิงประตูไกลสุดสวยในเกมที่เจอกับ เชลซี ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ ส่งผลให้ลิเวอร์พูลขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งท็อปของตารางในช่วงแรก
���������� ฟอร์มของทีมดร็อปลงในช่วงปีใหม่ และเฮนเดอร์สันก็มีอาการบาดเจ็บที่ฝ่าเท้า ทำให้ปีนั้นลิเวอร์พูลต้องเปลี่ยนเป้าหมายมาชิงพื้นที่ท็อปโฟร์ตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์
���������� ทีมของคล็อปป์เอาชนะมิดเดิ้ลสโบรช์ได้ 3-0 ในเกมนัดสุดท้ายของฤดูกาล คว้าโควต้าไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จ
��������� 2017-18 - ลงเล่นทุกรายการ 41 นัด ทำไป 1 ประตู
���������� ลิเวอร์พูลทำผลงานได้ดีทั้งในพรีเมียร์ลีก และการเข้าชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกกับ เรอัล มาดริด
���������� เฮนเดอร์สันนำทีมลิเวอร์พูลผ่านด่านหลายทีมในยุโรปไล่เรียงในรอบน็อคเอ้าท์ตั้งแต่ เอฟซี ปอร์โต้, แมนฯ ซิตี้ และโรม่า ก่อนจะไปเจอกับ เรอัล มาดริด ขณะที่ในพรีเมียร์ลีกก็การันตีตำแหน่งท็อปโฟร์ไปเรียบร้อยแล้ว
���������� หลังจากความพ่ายแพ้ต่อเรอัล มาดริดในนัดชิงที่เคียฟ เฮนเดอร์สันกล่าวด้วยความมุ่งมั่นและไม่ยอมแพ้ว่าเขาและทีมจะพยายามกลับมาให้ได้ในจุดนี้และจะเป็นผู้ชนะให้ได้
���������� "พวกเราภูมิใจที่มาถึงที่นี่ พวกเราแพ้โดยทีมที่ดีกว่า" เฮนเดอร์สันกล่าวหลังเกม "พวกเราเองมีทีมที่วิเศษ หวังว่าพวกเราจะรักษาผลงานในพรีเมียร์ลีก, แชมเปี้ยนส์ ลีก และฟุตบอลถ้วยไว้ได้ด้วย"
��������� 2018-19 - ลงเล่นทุกรายการ 44 นัด ทำไป 1 ประตู
���������� ลิเวอร์พูลของเฮนเดอร์สันไม่แพ้ใครเลยในการเปิดฤดูกาลพรีเมียร์ลีก 20 นัดแรก และในรอบแบ่งกลุ่มยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกก็อยู่ร่วมกลุ่มกับทีมที่แข็งมากอย่าง นาโปลี, ปารีส แซงต์ แยร์กแมง และ เร้ดสตาร์ เบลเกรด
���������� นี่เป็นฤดูกาลที่ 8 แล้วของเฮนเดอร์สันที่แอนฟิลด์ เขาแสดงความมุ่งมั่นต่อทีมด้วยการขยายสัญญาใหม่ออกไปหลังฤดูกาลใหม่เปิดฉากขึ้นแค่เดือนเดียว
���������� เฮนเดอร์สันถูกส่งลงเล่นในบทบาทที่มีส่วนกับเกมรุกมากขึ้นในครึ่งฤดูกาลหลัง หลัง คล็อปป์ ไปเซ็นสัญญากับ ฟาบินโญ่ มาร่วมทีมและใช้เวลาครึ่งฤดูกาลในการปรับตัว ซึ่งฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลทำคะแนนในลีกไปได้ถึง 97 คะแนน แพ้แค่นัดเดียวแต่นั่นคือการแพ้แมนฯ ซิตี้ ทีมที่ทำคะแนนเฉือนเป็นแชมป์
��������� การตามหลังบาร์เซโลน่าจากนัดแรก 3-0 แต่มาเอาชนะที่แอนฟิลด์ 4-0 เข้ารอบ เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่น่าประทับใจและถูกพูดถึง
�������� เป็นปีที่ยอดเยี่ยมที่เฮนเดอร์สันสามารถพาลิเวอร์พูลเถลิงแชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 ได้สำเร็จจากการเอาชนะสเปอร์สที่กรุงมาดริดในนัดชิง
��������� 2019-20 - ลงเล่นทุกรายการ 35 นัด ทำไป 3 ประตู (นับถึงเวลานี้)
��������� เฮนเดอร์สันได้ชูถ้วยแชมป์ในฐานะกัปตันทีมอีกครั้ง เมื่อลิเวอร์พูลเอาชนะเชลซีในการดวลจุดโทษในศึกยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ ในเดือนแรกที่ฤดูกาลใหม่เปิดฉากขึ้น
���������
��������� ในเดือนธันวาคม ทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่ยังไม่แพ้ใครในลีก ต้องเดินทางไปเตะสโมสรโลกที่กาตาร์ และเฮนเดอร์สันก็ได้ชูถ้วยแชมป์โลก จากประตูชัยของโรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ที่ช่วยให้ทีมเฉือนฟลาเมงโก้ 1-0 ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสรด้วยสำหรับการคว้าแชมป์รายการนี้
��������� ลิเวอร์พูลแพ้ต่อวัตฟอร์ดอย่างพลิกล็อก ยุติสถิติไม่แพ้ใครติดต่อกันในพรีเมียร์ลีกไว้ที่ 44 นัด แต่ก็ยังมีคะแนนนำห่างอันดับที่ 2 อย่างแมนฯ ซิตี้ อยู่ 25 คะแนน ก่อนที่ฤดูกาลจะถูกหยุดแข่งชั่วคราวเพราะการระบาดของโควิด-19
��������� เฮนเดอร์สันและเพื่อนร่วมทีมรู้ว่า พวกเขาจะต้องพร้อมที่สุดในการกลับมาลงสนามอีกครั้งวันที่ 21 มิถุนายนนี้ หลังพรีเมียร์ลีกกลับมาฟาดแข้ง โดยลิเวอร์พูลต้องการอีกแค่ 6 คะแนนจาก 9 นัดสุดท้ายที่จะทำให้เฮนเดอร์สันได้ชูถ้วยพรีเมียร์ลีก ซึ่งจะเป็นถ้วยแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกของสโมสรในรอบ 30 ปีด้วย